เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เป็นคนที่มีอำนาจวาสนามาก มีอำนาจวาสนาเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทเจ้าเวลาแสวงหาธรรมๆ ธรรมฝ่ายเหตุๆ ๖ ปีนั้นท่านแสวงหาของท่าน ท่านพยายามของท่าน เวลาท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เสวยวิมุตติสุข วิมุตติสุขน่ะ คำว่า “วิมุตติสุข” สุขยิ่งกว่าโลก
สุขเวทนา ทุกขเวทนา สุขด้วยทิพย์สมบัติ ไร้สาระ เวลาวิมุตติสุขๆ สุขอย่างนี้มันสุขแท้ๆ สุขในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา ที่เราแสวงหากัน ถ้าแสวงหาด้วยมีสติด้วยมีปัญญา เราจะแสวงหาความสุขแบบนี้
แต่ความสุขแบบโลกๆ อยากเป็นเศรษฐี อยากมั่งมี อยากศรีสุข อยากมีอำนาจวาสนา อยากมียศถา อยากมีบรรดาศักดิ์ อยากมีทุกสิ่ง
สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมา สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นมา สิ่งที่แสวงหานั้นไม่มีสิ่งใดคงที่ เว้นไว้แต่วิมุตติสุข สุขแท้ๆ สุขจริงๆ ในพระพุทธศาสนา
ทีนี้จิตใจของเรา เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา วุฒิภาวะของเราอ่อนด้อย วุฒิภาวะของเรามีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน วุฒิภาวะที่มีอำนาจวาสนามากเขาสละสุขทางโลกเพื่อแสวงหาสัจจะความจริงในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าสัจจะความจริงนั้นเกิดขึ้นมา สิ่งนั้นจะเป็นความจริงในใจอันนั้น ถ้าสิ่งนั้นเป็นความจริงในใจอันนั้น วิมุตติสุข สุขอย่างยิ่ง สุขที่โลกนี้ไม่เคยมี พรหมก็ไม่รู้จัก เทวดาก็ไม่รู้จัก ไม่มีใครเคยได้สัมผัสสุขอย่างนี้ ไม่มี แต่จะมีในพระพุทธศาสนา มีในธรรมะในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบสัจธรรม กราบธรรมะ กราบธรรมอันนี้ไง ถ้ากราบธรรมอันนี้ ถ้าเป็นสัจจะความจริงอย่างนี้ เห็นไหม
ในมหายานบอก หิวก็กิน พระอรหันต์ดำรงชีพอย่างไร หิวก็กิน ง่วงก็นอน จบ หิวก็กิน ง่วงก็นอน หิวก็กินไง กินด้วยความไม่มีมารยาสาไถย กินด้วยธาตุขันธ์มันต้องการ กินเพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิตนี้เป็นขวัญหูขวัญตาของประชาชน หิวก็กินๆ ไง ไม่ได้กินด้วยมารยาสาไถย ไม่ได้กินด้วยความยิ่งใหญ่ ไม่ได้กินด้วยการล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่ได้กินด้วยการเชิดชู ไม่ได้กินด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ได้กินอย่างนั้นนะ ง่วงก็นอน ถ้าง่วงก็นอนได้ไง นี่ไง วิมุตติสุขไง ถ้ามีความสุขในใจอย่างยิ่งแล้วมันไม่มีมารยาสาไถยไง ไม่มีสิ่งใดมาปลิ้นปล้อนไง ไม่มีสิ่งใดมาหลอกลวงไง
ถ้ามันมีมารยาสาไถย หิว หิวความอยากดัง หิวความอยากใหญ่ หิวต้องให้ทุกคนเคารพบูชา หิวต้องการให้คนอยู่ใต้อำนาจ หิวอย่างนี้แหละมันถึงต้องปลิ้นปล้อน หิวอย่างนี้ไง เวลากิน กินด้วยความปลิ้นปล้อน กินด้วยความหลอกลวง กินด้วยความมารยาสาไถย แล้วปากพูดด้วยนะ “หิวก็กินไง หิวก็กิน” กินด้วยมารยาสาไถยไง นี่ไง เพราะอะไร เพราะไม่มีเหตุ
แต่ถ้าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันมีฝ่ายเหตุ มันต้องมีเหตุมีผลของมันขึ้นมา มันต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา มีการกระทำขึ้นมา ถ้ามีการกระทำขึ้นมา นี่ไง ที่เราประพฤติปฏิบัติกันไง ถ้าเราปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมาอย่างนี้มันถึงจะเป็นความจริงขึ้นมาไง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา หิวก็กิน พระอรหันต์ดำรงชีพไว้ หิวก็กิน ง่วงก็นอน
แต่ถ้าเราไม่มี ไม่มีธรรมฝ่ายเหตุ หิวก็กินน่ะ ดูทารกนะ สมัยจีนโบราณเวลาครอบครัวที่ยากจน เวลาเขาคลอดลูกแล้วเขาเอาไปวางไว้ตามสามแยกสี่แยก เผื่อใครมีอำนาจวาสนาจะได้เก็บไปเลี้ยง เวลามันไปนอนตามสามแยกสี่แยก แล้วทับถมกันนะ เป็นร้อยๆ คน เวลามันหิวมันกระหายนะ มันก็เอามือมันควักแต่อุจจาระของมันกินเข้าไป เวลาหิวถึงที่สุดมันดูดนิ้วมือนะ
มีคนเขาไปเห็นแล้วมาเล่าให้เราฟัง ไปเดินดูตามที่ว่าพ่อแม่เขาไม่มีปัญญาที่จะเลี้ยงของเขา เขามาวางไว้ เผื่อมีอำนาจวาสนา ใครจะเก็บไปเลี้ยงบ้าง ไปกองไว้ตามสามแยกสี่แยก เวลาเขาไปดูนะ มันร้องไห้ แล้วเวลามันหิวนะ มันดูดหัวแม่มือของมันไง มันไปจับหัวแม่มือของคนนู้นมาดูด จับหัวแม่มือของคนนี้มาดูด มันนึกว่าเป็นนมไง
หิวก็กินใช่ไหม ถ้าไม่มีเหตุก็กินอย่างนั้นไง กินขี้ กินแต่สิ่งที่คนไปทิ้งไว้ไง เพราะอะไร เพราะมันไม่มีเหตุไง มันไม่มีการกระทำมา ไม่มีอำนาจวาสนาไง คนที่มีอำนาจวาสนาเขาเกิดมาช้อนเงินช้อนทอง มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง เขามีคนดูแลไง
นี่ไง ถ้าหิวจะกิน กินอะไร ถ้าไม่มีเหตุมีผลจะกินอะไร ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ประเสริฐ แต่มันมีไอ้พวกจอมปลอม ไอ้พวกปลิ้นปล้อน เวลามาบวชในพระพุทธศาสนาไง แล้วก็มาปลิ้นปล้อนอยู่ในศาสนานี้ไง
เรามีครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นธรรมๆ ท่านทำด้วยความไม่เป็นมารยาสาไถย เพราะทำด้วยความไม่เป็นมารยาสาไถย กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมหอมทวนลมไง เพราะกลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมหอมทวนลม มันก็มีคนล้อมหน้าล้อมหลังไง คนล้อมหน้าล้อมหลัง ท่านก็ยังประพฤติตนอยู่ในศีลอยู่ในธรรมไง แต่ไอ้พวกมารยาสาไถยมันเข้ามาปอกลอกไง เข้ามาเพื่อแสวงหา
หิวก็กินๆ...ใช่ การดำรงชีพของพระอรหันต์ ดำรงชีพ ดำรงชีพไว้ทำไม นี่ไง เวลาหลวงตาท่านพูด เวลาตายกับอยู่มีค่าเท่ากัน ตายกับอยู่มีค่าเท่ากัน เวลาตายไป เพราะกิเลสมันตายตั้งแต่วันแรก การเกิดและการตายเป็นสมมุติ การเกิดและการตายพระอรหันต์เป็นมารยาสาไถย เป็นของหลอกลวง แต่ของเราเป็นความจริงนะ เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเป็นความจริงนะ จิตนี้ไม่เคยเว้นวรรคนะ จิตนี้ต้องเกิดแน่นอน เกิดมาตั้งแต่พรหม เกิดบนสวรค์ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์นรกอเวจี ต้องเกิดแน่นอน เพราะมันมีพลังงาน พลังงานตัวที่เกิดคือตัวจิต มันมีอวิชชา มันมีความไม่รู้ของมัน มันต้องเวียนว่ายตายเกิดเหมือนกัน
ใครจะพูดอย่างไร เรื่องของเขา แต่มันต้องเป็นไปตามธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ เวรกรรมเป็นธรรมชาติ จิตนี้เป็นธรรมชาติที่มีอวิชชาครอบงำมันอยู่ มันจะไปอยู่เป็นสุขได้อย่างไร มันอยู่ด้วยตัวของมันเองไม่ได้ มันไปตามการขับเคลื่อนกับเวรกับกรรม กรรมดีกรรมชั่ว บุญและบาปขับเคลื่อนจิตดวงนี้ไป จิตดวงนี้ไม่มีการเว้นวรรค จิตดวงนี้ต้องเกิดในวัฏฏะแน่นอน ถ้ามันเกิดในวัฏฏะแน่นอน มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันเป็นไปด้วยอำนาจของกรรม นี่ไง ที่มันต้องเป็นไปไง มันเป็นไปของมันโดยธรรมชาติของมัน ถ้าธรรมชาติของมันเป็นแบบนั้น มันไม่มีใครรู้ใครเห็นมันไง
จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าไม่มีฝ่ายเหตุ มีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราเกิดเป็นมนุษย์ไง เกิดเป็นมนุษย์ต้องมีอำนาจวาสนานะ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา โดยวิทยาศาสตร์ ของของเราให้เขาทำไม ของของเราก็ต้องเก็บไว้สิ คนเราจะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีเพราะรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ คนรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ คนคนนั้นจะรุ่งเรื่อง
ของของเราได้มา เราก็ต้องเก็บรักษาของเรา เราจะไปทิ้งๆ ขว้างๆ ได้อย่างไร ของของเรา เรามีสติสัมปชัญญะ เราไม่ใช่คนบ้า ได้ของมาจะไปโยนทิ้ง ไม่มี ของเราต้องเก็บรักษาของเราไว้ ถ้าของเราเก็บรักษาไว้ ชาติตระกูลเราจะไม่ถึงคราวเสื่อมสูญไป
แล้วเวลาเรามีสติมีปัญญาขึ้นมาใช่ไหม เราเป็นคนใช่ไหม มีสติสัมปชัญญะใช่ไหม เราแสวงหามาเป็นสมบัติของเราใช่ไหม แต่เรามีสติมีปัญญาของเราไง ไอ้สิ่งนี้ นี่ไง ด้วยอำนาจวาสนาบารมี เราทำมามันก็ประสบความสำเร็จของเราใช่ไหม แล้วเราจะให้มันมอดไหม้ไปกับชีวิตปัจจุบันนี้ใช่ไหม
แต่ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราจะเสียสละของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาให้เสียสละทาน ทานกับใคร เนื้อนาบุญของโลก เราก็แสวงหาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ไง ถ้าแสวงหาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม เนื้อนาบุญของโลกที่เราจะเพาะปลูกบุญกุศลของเรา ถ้าจะเพาะปลูกบุญกุศลของเรา เราเสียสละตรงนั้น การเสียสละตรงนั้น นี่ด้วยสติด้วยปัญญา
แต่คนที่กิเลสหนาปัญญาหยาบ “ของของกู ให้ได้อย่างไร อู๋ย! ของของกูไง” นี่ไง เขาว่าฉลาด วิทยาศาสตร์ไง คิดโดยวิทยาศาสตร์ไง แล้วถ้าไม่มีอำนาจวาสนา “ไปวัดๆ คนที่ไปวัด คนมีปัญหาทั้งนั้นเลย คนไม่สบายก็ไปโรงพยาบาล แล้วพวกนี้มีหน้าที่การงาน เกิดมาเป็นคน ทำไมไม่ทำมาหากิน ไปวัดทำไม”
อ้าว! ก็เขาฉลาดกว่ามึงไง มึงน่ะมันโง่ ของมึงๆ ไม่มีอะไรเป็นของมึงเลย เขาไปวัดไปวาขึ้นมา เขาจะแสวงหาสัจธรรมในหัวใจของเขา เขาจะขุด เขาจะเปิดหัวใจ เขาจะฟื้นฟูใจของเขา มนุษย์เกิดมามีกายกับใจๆ แล้วใจอยู่ไหน
นี่ไง หิวก็กินๆ อะไรกิน ถ้ากินด้วยตัณหาความทะยานอยาก กินด้วยความแสวงหา กินด้วยมารยาสาไถย กินอย่างนั้นไง กินด้วยความอยากใหญ่ กินด้วยความเหยียบย่ำคนโน้นคนนี้ กินด้วยกิเลส
แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ เวลามาวัดมาวา แสวงหาหัวใจของเราอันนี้ไง มโนกรรม มโนกรรมมันก่อนความคิดนะ ความคิดเกิดจากจิต มโนวิญญาณ ปฏิสนธิจิต มันเกิดจากที่นั่น อวิชชาอยู่ที่นั่น พญามารอยู่ที่นั่น พญามารอยู่ที่นั่น แล้วความคิดเกิดขึ้นมาพร้อมกับอนุสัย อนุสัยคืออวิชชา คือความไม่รู้ ความไม่รู้มันออกมา แล้วศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หิวก็กิน ง่วงก็นอน แต่กูอยากให้เขานับหน้าถือตากู ถ้ากูจะกิน อู๋ย! มันกินไม่ได้ มันไม่ถูกธาตุขันธ์
แล้วจะกินอะไรล่ะ
ดาวกับเดือน ถ้าไม่ได้ดาวไม่ได้เดือน กินไม่ได้ ถ้าดาวกับเดือนมา กินได้
นี่ไง ถ้ามันมีมารยาสาไถยของมันไง นี่ไง อวิชชามันอยู่ที่นั่นไง นี่ไง ปฏิสนธิจิตๆ คนที่เขาไปวัดไปวาเขาก็ต้องแสวงหา ทุกคนต้องทำอย่างนี้ทั้งนั้น ถ้าทุกคนไม่ทำอย่างนี้ คนคนนั้นจะไม่มีสมบัติเป็นของตนเอง สมบัติของตนต้องจิตของเราเป็นผู้แสวงหา ความสุขความทุกข์ในใจมันเป็นของของเรา กิเลสบีบคั้นจนน้ำตาไหลพราก ความพลัดพรากมันควักหัวใจเราไป ความทุกข์ยากมันกระทืบหัวใจเรา ใครเจ็บซ้ำ
คนรอบข้างปลอบนะ ไม่เป็นไรๆ เอาน้ำเย็นเข้าลูบนะ คนรอบข้างเขาไม่ได้ทุกข์กับเราเลยนะ เขาปลอบประโลมเรานะ เราเจ็บอยู่คนเดียว เราเสียใจอยู่คนเดียว น้ำตาไหลพรากอยู่คนเดียว
ฉะนั้น เวลาจะไปแก้มันต้องไปแก้ตรงนั้น จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะด้วยอวิชชา ด้วยความไม่รู้ของมัน แล้วถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อมา
คนไปวัด เอ็งมีเวลาว่างเหลือเฟือใช่ไหม ทำไมไม่ทำมาหากิน ทำไมมึงไปวัด
อ้าว! ก็กูไปวัดเพราะกูเริ่มฉลาดขึ้นไง กูเริ่มจะหาสมบัติของกูบ้างแล้ว แต่ก่อนกูหาสมบัติไว้ให้ชาติให้ตระกูล หาสมบัติไว้เผื่อลูกหลาน หาสมบัติไว้เผื่อคนรอบข้าง แต่สมบัติกูไม่เคยมีเลย สมบัติกู ถ้าเวลากูตาย กูก็จะทุกข์ของกูไปนี่แหละ แต่วันนี้กูชักฉลาดขึ้นแล้ว กูจะเจียดเวลากูเพื่อไปหาสมบัติกูแล้ว
เวลาไปวัดแล้วมันทำไม่ได้หรอก คนไม่เคยทำนะ มันเหมือนโดนขังคุก โคถึก เวลาไปผูกมันไว้นะ มันกระชากจนเชือกจะขาด มันกระชากอยู่นั่นน่ะ ไอ้นี่ก็ตัวมาอยู่วัดไง ใจมันดิ้นรน ใจมันจะกลับบ้าน ใจมันบอกว่าไม่ได้
ดอกเบี้ย ดอกเบี้ยมันขึ้น ใจมันบอกไม่ได้นะ โอ๋ย! เวลาเป็นเงินเป็นทอง อู๋ย! มันคำนวณหมดเลย ใจมันจะขาด
แต่ถ้ามันฝึกฝนของมัน มันมีอำนาจวาสนาของมัน มันพยายามทำของมัน ทำของมัน พยายามมีสติมีปัญญารักษาใจของเราให้ได้ ถ้ารักษาใจของเราได้ ใจมันจะสงบระงับเข้ามา ถ้าสงบระงับเข้ามา สงบระงับเข้ามามันก็สบายแล้ว แล้วถ้ามันสงบจนเป็นสัมมาสมาธินะ สัมมาสมาธิ จิตนี้ไม่พาดพิงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น จิตเป็นจิต ปฏิสนธิจิต จิตเป็นจิต
นี่ไง ถ้าคนที่ไม่ได้สมบัติๆ ไม่มีใครได้สมบัติอะไรไปเลย โยมมาทำบุญกันอยู่นี่ มีได้บุญและบาป บุญและบาปเป็นอามิส บุญและบาปมันเป็นความคิด ความคิดเกิดจากจิต ไม่ใช่จิต ความคิดเกิดจากจิตนะ แต่มันยังมีบุญกุศลเพราะมันเกิดจากจิต เวลามันไปกับจิตไง มันถึงเป็นทิพย์สมบัติไง
แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา จิตสงบเข้าไปแล้วมันจะไปเห็นของมันไง ถ้าเห็นของมัน เห็นใจ จิตเห็นอาการของจิตไง จิตเห็นอาการของจิตคือจิตเห็นความคิดของตน ถ้าจิตเห็นความคิดของตน นั่น พระพุทธศาสนาสอนที่นี่
ถ้ามันบอกว่า หิวก็กิน ง่วงก็นอน มันต้องรู้จักหัวใจของมัน มันต้องเห็นใจของมัน มันต้องได้แก้ไขหัวใจของมันจนมันซื่อตรงกับหัวใจของมัน ถ้ามันซื่อตรงกับหัวใจของมัน ซื่อตรงกับความคิด ไม่ใช่มารยาสาไถย เห็นครูบาอาจารย์มีชื่อเสียงก็ไปเกาะไปแกะ แล้วก็ว่า “มันเป็นธรรมดา ป่วยก็รักษา” ไอ้คนพูดอย่างนี้ กูจะดูเวลามึงป่วย มึงอย่าออเซาะนะ มึงอย่าอยู่ห้องปลอดเชื้อนะ มึงต้องมีคนล้อมหน้าล้อมหลังนะ ต้องมีคนคอยป้อนๆ หิวก็กิน ไม่ป้อนกินไม่ได้ ไม่สบาย ต้องป้อนๆ...อย่ามารยาสาไถย
ความจริงเป็นความจริงของท่าน ครูบาอาจารย์ของเราเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงของท่าน รักษากันไปตามข้อเท็จจริง ในทางการแพทย์เขาก็มีวิชาการของเขา เจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษาตามวิชาการนั้น ตามทางการแพทย์นั้น ทางการแพทย์เขาจะรักษากันอย่างใด
แต่หัวใจของท่านยิ่งใหญ่ ท่านรักษาใจของท่านอยู่แล้ว ท่านฟอกใจของท่านอยู่แล้ว ไม่ต้องมีมารยาสาไถย ไม่ต้องมีความอยากดังอยากใหญ่ อยากพลิกแพลง เข้ามาเกาะกระแส นั่นน่ะเป็นความคิดของเอ็ง จิตใจต่ำต้อย
ไปโรงพยาบาลก็ว่าหายไหมๆ ทุกคนไปโรงพยาบาล เห็นหมอคนแก่ กลัวว่าหมอมันจะตายก่อนเราหาย มันยังไม่ทันรักษาเลย เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ อยากได้ทั้งนั้น คนอื่นไม่สำคัญ เว้นไว้จากเราไปแล้ว เลวทั้งนั้น เรานี่ยิ่งใหญ่ทั้งนั้น
แต่ถ้าเป็นธรรมไม่เป็นอย่างนั้น เพราะมันไม่มีเหตุไง ถ้ามันมีเหตุนะ มีเหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเหตุมันสมบูรณ์แบบแล้วมันจะสงบ มันจะระงับ
สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย เพราะมันเป็นไปตามเวรตามกรรม ตามแต่อำนาจวาสนา
แต่ครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าหัวใจท่านได้ไขแล้ว หิวก็กิน ง่วงก็นอน จิตใจท่านไม่มีมารยาสาไถย ผู้ใดมีอิทธิบาท ๔ จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็ได้ ผู้ใดมีอิทธิบาท ๔ ฉันทะ มีความพอใจกับจิตของตน รักษาจิตของตน จิตของตนไม่ออกจากร่าง มันจะไปไหน ถ้ามีความพอใจจะอยู่อีกกี่กัปก็ได้ มันเป็นหน้าที่ของท่าน มันเป็นเรื่องคุณธรรมในใจของท่าน มันเป็นเรื่องวาสนาของท่าน
ไอ้พวกมารยาสาไถยเข้าไปแอบอิง แล้วเอ็งช่วยอะไรได้ เอ็งช่วยอะไรไม่ได้แล้วเอ็งยังมาแอบอ้าง แต่ถ้าเป็นความจริง ผู้ใดมีอิทธิบาท ๔ จะอยู่อีกกี่กัปก็ได้ เอวัง